เคล็ดลับดูแลริมฝีปากแห้งแตก

เป็นที่ทราบกันดีว่าริมฝีปากที่เนียนนุ่มชุ่มชื้นช่วยเพิ่มเสน่ห์และความสดใสอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลาย  จึงไม่แปลกที่ผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นลิปสติก, ลิควิดลิป, ลิปกลอส, ลิปบาล์ม, และลิปสครับจึงติดอันดับไอเท็มยอดฮิตที่ครองตลาดเครื่องสำอางได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน แต่ถึงแม้จะมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้มากมายก็ยังมีบ่อยครั้งที่เราต้องเผชิญสภาพแห้งแตกของริมฝีปากจนผลิตภัณฑ์อะไรก็เอาไม่อยู่ วันนี้ชาวไบโอเดอเนชจึงขออาสามาแนะนำวิธีบอกลาริมฝีปากแห้งแตกให้กับเพื่อน ๆ ได้ลองเอาไปใช้กันดูค่ะ

ลักษณะของผิวหนังที่ริมฝีปาก

ผิวหนังที่ริมฝีปากเป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับเยื่อบุผิวภายในช่องปาก ประกอบด้วยผิวหนังชั้นบาง ๆ เพียงไม่กี่ชั้น และการที่ผิวหนังชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นของเซลล์ที่ตายแล้วและโปรตีนเคราตินมีความบางมากส่งผลให้ริมฝีปากมีความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นต่ำ จึงแห้งแตกได้ง่าย การที่ริมฝีปากมีสีแดงเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีเม็ดสีเมลานินน้อย และเนื้อเยื่อมีความใสจนสามารถมองเห็นเป็นสีแดงซึ่งเป็นสีของเส้นเลือดฝอยจำนวนมากที่ริมฝีปากได้อย่างชัดเจน

ริมฝีปากแห้งและแตกอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ

1. การเลียริมฝีปากบ่อย ๆ เนื่องจากในน้ำลายมีเอนไซม์ที่ทำให้ปากแห้งและอักเสบได้ นอกจากนั้นเมื่อน้ำลายจะดึงเอาความชื้นที่ผิวริมฝีปากออกไปด้วย ริมฝีปากจึงแห้งมากยิ่งขึ้น

2. ความร้อนและรังสียูวีจากแสงแดด ทำให้ผิวบริเวณริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้น เซลล์ผิวหนังอักเสบและเกิดการไหม้เนื่องจากถูกรังสียูวีทำลาย

3. สภาพอากาศแห้ง โดยในสภาวะที่ในช่วงฤดูหนาว หรือในห้องที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ

4. สภาวะที่มีลมแรง ซึ่งจะทำให้ความชุ่มชื้นที่ผิวหนังระเหยเร็วขึ้น

5. การสูบหรี่ เนื่องจากควันบุหรี่จะทำให้ผิวหนังที่ริมฝีปากและบริเวณรอบริมฝีปากเกิดการระคายเคือง และเกิดอาการแห้งและแตกตามมา

6. การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะกระบวนการดึงน้ำ (dehydration) ของแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ผิวจึงแห้งแตกได้ง่ายเนื่องจากขาดความชุ่มชื้น

7. การรับประทานที่ เผ็ดหรือเค็มจัด

8. การสัมผัสสารเคมีหรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของวิตามิน A ซึ่งมีผลทำให้ผิวหนังแห้งและลอก หรือการแพ้สารเคมีบางชนิด เช่น น้ำหอม หรือสี ในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับริมฝีปาก

9. การขาดสารอาหารและแร่ธาตุ เช่น วิตามินบี, ธาตุเหล็ก และสังกะสี

10. สภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ เช่นท้องเสีย, เหงื่อออกมาก, หรืออาเจียน

11. การล้างหน้าด้วยน้ำร้อนบ่อย ๆ จะดึงความชุ่มชื้นจากผิวหน้าและริมฝีปากออกไปมากขึ้น

DO & DON’T เพื่อริมฝีปากเนียนนุ่มชุ่มชื้น

 DO-สิ่งที่ควรทำ

1. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

2. ปกป้องความชุ่มชื้นที่บริเวณริมฝีปากโดยการทาปิโตรเลียมเจลลี่ หรือลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของขี้ผึ้ง, เชียร์บัตเตอร์, น้ำมันมะกอก, น้ำมันโจโจบา, โคโคนัทบัตเตอร์, หรือกรดไฮยาลูโรนิกอย่างสม่ำเสมอ

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดด (sunscreen reagents) ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปในช่วงเวลากลางวันและทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการทำร้ายจากแสงแดด

4. ขัดริมฝีปากอย่างอ่อนโยนด้วยลิปสครับ เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวและเผยเซลล์ผิวใหม่ที่เนียนนุ่มชุ่มชื้น

5. เปิดเครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ (humidifier)เมื่อต้องอยู่ในห้องที่มีสภาพอากาศแห้งมาก

6. รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี, ธาตุเหล็ก, และสังกะสี เช่น ผักใบเขียว, ถั่วต่าง ๆ, ไข่, เนื้อสัตว์, ธัญพืช, นม, และอาหารทะเล

DON’T-สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

1. การสัมผัสแสงแดดโดยไม่มีการปกป้องผิว

2. การสูบบุหรี่

3. การเลียริมฝีปากบ่อย ๆ

4. การดื่มแอลกอฮอล์

5. การรับประทานอาหารที่เค็มหรือเผ็ดจัด

6. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารก่อการระคายเคือง เช่น สารกันเสียอันตราย, สีสังเคราะห์, หรือกลิ่นสังเคราะห์ เป็นต้น

ขั้นตอนการดูแลริมฝีปากประจำวัน

1. เช็ดลิปสติกและลิปไลเนอร์ออกจากผิวริมฝีปากให้หมดจดด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิว

2. สครับผิวริมฝีปากด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติที่อ่อนโยนและปลอดภัยต่อผิวอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

3. ใช้น้ำสะอาดล้างริมฝีปากให้หมดจด

4. ทาลิปบาล์มเพื่อเติมความชุ่มชื้นและปกป้องผิวอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ในเวลาเช้าก่อนทาลิปสติกและก่อนเข้านอน โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารป้องกันแสงแดดสำหรับการทาช่วงกลางวัน

5. หากต้องการเติมสีสันให้กับริมฝีปากควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารปกป้องแสงแดด, ไม่มีสารเคมีอันตราย, และไม่ทำให้ริมฝีปากปากแห้ง

ที่มา: Trookman, N. S., Rizer, R. L., Ford, R., Mehta, R., & Gotz, V. (2009). Clinical assessment of a combination lip treatment to restore moisturization and fullness. The Journal of clinical and aesthetic dermatology, 2(12), 44.